การทดลอง mandelic acid กับผิว

เป็นบทความของ Dr. Mark B. Taylor หนึ่งในสมาชิกของ Board of Directors of North American Medical ที่ถูกตีพิมพ์ในนิตยสาร Cosmetic Dermatology

สรุปสาระสำคัญของ mandelic acid ในแง่ของการปรับสภาพผิวให้ดีขึ้น
Mandelic acid ซึ่งเป็น AHA ที่ได้จากจากอัลมอนด์ และมีการศึกษากันอย่างกว้างขวางในแง่ของการใช้เพื่อรักษาผิวที่มีปัญหา เช่น ผิวที่เสียจากแสงแดด การสร้างเม็ดสีที่ผิดปกติ และสิว
การค้นคว้าวิจัยเพื่อหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ mandelic acid ในการนำมาใช้กับผิว โดย Gateway Aesthetic Institute และ Laser Center in Salt Lake City, Utah ได้แสดงให้เห็นว่า mandelic acid มีผลในการยับยั้งการเกิดเม็ดสี สามารถรักษาการอักเสบของสิวที่ไม่ใหญ่มาก และช่วยปรับสภาพผิวที่เสียจากแสงแดด ยิ่งไปกว่านั้นยังพบว่า mandelic acid ช่วยให้ผิวเกิดการฟื้นตัวหลังการทำเลเซอร์เร็วขึ้น และบทความนี้จะเป็นงานวิจัยที่พูดถึงประสิทธิภาพของ mandelic acid ในการรักษารอยเหี่ยวย่น เม็ดสี สิว และการฟื้นฟูสภาพผิวจากการทำเลเซอร์

——————————————————————————–

ข้อบ่งใช้ทางการแพทย์

ได้มีการนำ Mandelic acid มาใช้เป็นยามาหลายปีแล้ว โดยใช้เสมือนเป็นยาฆ่าเชื้อปัสสาวะ Methenamine mandelate
Parke-Davis, Morris Plains, NJ นั้นได้ใช้ทั้ง methenamine และ mandelic acid เป็นยาฆ่าเชื้อ ที่ความเข้มข้น 35-50 กรัม / น้ำปัสสาวะ 100 ลิตร ซึ่งผลที่ได้คือสามารถยับยั้ง Staphylococcus aureus, bacillus proteus, escherichia coli, และ aerobacter aerogenes
ในทางเคมี mandelic acid มีโครงสร้างคล้ายกันกับยาปฎิชีวนะทั่วๆ ไป เป็นสารที่ไม่เป็นพิษ หลังจากเข้าไปในร่างกายก็จะถูกขับออกมาทางปัสสาวะ
แรกเริ่มเดิมทีการทดลองเกี่ยวกับ mandelic acid นั้นมี 2 เป้าหมาย คือ เพื่อดูผลในการต้านริ้วรอยบนผิว ว่าสามารถทำได้เหมือนกับที่ glycolic acid ทำได้หรือไม่ และเพื่อดูผลในการต้านเชื้อแบคทีเรียของ mandelic acid ต่อการรักษาสิว รวมทั้งผลของการป้องกันการติดเชี้อแบคทีเรียแกรมลบหลังการใช้เลเซอร์

——————————————————————————–

งานวิจัย

การทดลองนั้นมีผู้ป่วยเข้าร่วมการทดลองมากกว่า 1,100 คน ระยะเวลาการทำทดลองอยู่ที่ 3 ปี ผู้ป่วยบางคนถูกติดตามด้วยการถ่ายภาพเป็นระยะๆ และการประเมินแบบกว้างๆ โดยสิ่งที่ถูกนำมาประเมินจะเป็นเรื่องพัฒนาการของสิว เนื้อผิว รอยเหี่ยวย่น ขี้แมลงวัน และฝ้า
Mandelic acid ที่นำมาใช้ทดลองจะเป็น Mandelic acid ของ Nucelle ความเข้มข้นของ mandelic acid ที่ 2-10% โดยแนะนำให้ผู้ป่วยใช้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าววันละสองครั้ง
การลอกผิวด้วยเคมี จะใช้ mandelic acid 30 และ 50% โดยเริ่มต้นจากการล้างหน้าด้วยเจลล้างหน้าที่มีส่วนผสมของ mandelic acid 2% ตามด้วยการใช้ผ้าก๊อซต์ทา mandelic acid ที่ผิว ระยะเวลาที่ทาทิ้งไว้ปกติจะอยู่ที่ 5 นาที อย่างไรก็ตามแม้ว่าจะทิ้งนานกว่านี้ก็ยังปลอดภัยต่อผิว การผลัดลอกด้วยวิธีนี้ปกติแล้วจะทำสัปดาห์ละหนึ่งครั้ง หรือสองสัปดาห์ครั้งก็ได้ หลังจากได้ระยะเวลาที่ต้องการแล้วก็ล้างออกด้วยน้ำสะอาด และทาสเตียรอยด์ชนิดอ่อนโยน (desonide 0.05% lotion) หลังการผลัดลอกด้วยวิธีนี้ในครั้งแรก
2 – 4 สัปดาห์ก่อนและหลังจากการทำเลเซอร์แล้ว จะรักษาผู้ป่วยด้วยผลิตภัณฑ์ mandelic acid และขี้ผึ้งชนิดที่สามารถซึมผ่านผิวได้ เพื่อรักษาผิวหลังการทำเลเซอร์ โดยจะมีการประเมินผู้ป่วยดังนี้ :
-อัตราการติดเชื้อแบคทีเรียแบบแกรมลบ
-เวลาในการฟื้นฟูเนื้อเยื่อของผิว
-ผื่นแดงที่ผิวหนัง
-รอยดำจากการอักเสบของผิว
-โรคผิวหนังอักเสบรอบต่อมเหงื่อ และผลอื่นๆที่เกิดหลังการทำเลเซอร์

——————————————————————————–

ผลสรุป

ขั้นต้นจากการทดลองโดยใช้ผลิตภัณฑ์ของ Nucelle ที่มี mandelic acid เป็นส่วนผสมหลัก สามารถช่วยแก้ปัญหาผิวมากมายหลายอย่าง
1.รอยเหี่ยวย่นบางๆ จางลง และให้ผลเหมือนการใช้ glycolic acid 10% เนื้อผิวดีขึ้นอย่างรวดเร็วภายในไม่กี่วัน หรือไม่กี่สัปดาห์ อันเป็นคุณสมบัติของการใช้ AHA ข้อสังเกตที่แตกต่างกันระหว่าง glycolic acid และ mandelic acid ก็คือการใช้ mandelic acid นั้น การระคายเคืองหรือเกิดผื่นแดงน้อยมากเมื่อเทียบกับการรักษาผิวด้วย glycolic acid ที่พบว่าจะเกิดปัญหาแบบนี้ได้บ่อย
ผู้เขียนสังเกตว่า ในการทดสอบทางการแพทย์ผิวหนัง มีผู้ป่วยผิวคล้ำจำนวนมากที่เกิดปัญหาระคายเคือง ผิวเกิดผื่นแดง และผิวอาจสร้างเม็ดสีมากขึ้น อันเนื่องมาจากผิวอักเสบในขณะที่ใช้วิธีรักษาด้วย glycolic acid 5-10% หรือ tretinoin หรือ hydroquinone

2.การผลัดลอกผิวด้วย mandelic acid เมื่อเปรียบเทียบกับการผลัดลอกผิวด้วย glycolic acid นั้นจะเกิดผื่นแดงที่ผิวน้อยกว่า อาการผิวแห้งเป็นเกล็ดน้อยกว่า ผลเสียต่อผิวชั้นหนังแท้จากการใช้ก็น้อยกว่า อาการผิวเป็นผื่นแดงนั้นอาจเกิดขึ้นได้ แต่ไม่เหมือนการเป็นผื่นแดงด้วยการใช้วิธีผลัดลอกวิธีอื่น ที่จะทำให้ผิวหน้าแห้งแตกในเวลาต่อมา (เช่นบริเวณแก้มด้านข้าง) การผลัดซ้ำทุกหนึ่งสัปดาห์โดยทาทิ้งไว้ 5 นาทีแล้วล้างออก พบว่าให้ผลดีกับผิวของคนไข้ การผลัดผิวซ้ำทุกสัปดาห์นั้นมีประโยชน์ในแง่ของการรักษาสิว ฝ้า ขี้แมลงวัน และผิวที่ถูกแสงแดดทำลาย (เช่นผิวที่มีรอยเหี่ยวย่นจากแสงแดด, ผิวหมองคล้ำ, สีผิวไม่สม่ำเสมอ)

3.การรักษาผิวที่มีความผิดปกติของเม็ดสี รวมถึงการเป็นฝ้า รอยดำจากการอักเสบของผิว และขี้แมลงวัน ด้วย mandelic acid พบว่าได้ผลดี ผู้ป่วยหลายคนที่เป็นฝ้า จะมีผิวที่ดีขึ้นประมาณ 50% หลังจากการรักษาด้วย mandelic acid ที่ความเข้มข้น 10% ส่วนขี้แมลงวันจะให้ผลช้ากว่าค่อนข้างมาก อาจเป็นเวลาหลายสัปดาห์ หรือหลายเดือน การใช้ mandelic acid ร่วมกับผลิตภัณฑ์ฟอกผิวขาวที่มีส่วนผสมของไฮโดรควิโนน หรือโคจิกเอซิดจากการสั่งของแพทย์ พบว่าให้ผลที่ดีมากโดยไม่มีผลข้างเคียง

ผิวที่เป็นฝ้าลึกนั้นบ่อยครั้งที่ผิวจะเกิดอาการดื้อต่อการใช้ผลิตภัณฑ์แบบทา หลายคนในกลุ่มนี้ล้มเหลวจากการทายารักษาตัวอื่นๆ เช่น tretinoin hydroquinone และ steroid แต่พบว่าเห็นพัฒนาการที่ดีขึ้นอย่างชัดเจนหลังการใช้ mandelic acid รวมทั้งหลายคนในกลุ่มที่มีผิวค่อนข้างคล้ำและมีประวัติการเกิดรอยดำจากการอักเสบของผิวเนื่องจากการใช้ผลิตภัณฑ์ชนิดทาตัวอื่น เช่น tretinoin และ hydroquinone แต่เมื่อใช้ mandelic acid พบว่าไม่มีผลทำให้ฝ้าเข้มขึ้นจากการรักษา

ฝ้าลึกที่อยู่ถึงชั้นหนังแท้นั้นจะตอบสนองได้ช้ากว่าฝ้าที่ชั้นหนังกำพร้าค่อนข้างมาก จากการทดลองโดย Wood’s Light ผู้ป่วยที่ได้รับการรักษาด้วยผลิตภัณฑ์ mandelic acid นั้นมีพัฒนาการของผิวที่ดีขึ้นอย่างช้าๆในเวลาเพียงไม่กี่เดือน และผู้ป่วยชาวอิตาลีคนหนึ่งที่มีปัญหาฝ้ารุนแรงที่หน้าผาก และไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยสารฟอกผิวและ tretinoin เลย แต่หลังการใช้ mandelic acid ร่วมกับ PhotoDerm® (ESC Medical, Yokneam, Israel) 6 เดือน พบว่าปัญหาฝ้าที่เป็นอยู่นั้นหายเกือบหมด วิธีการรักษาแบบผสมนี้จะให้ผลในการรักษาที่ดีกว่าการรักษาแบบใช้ผลิตภัณฑ์เดี่ยวๆ

4. พบว่าผู้ป่วยที่เป็นสิวนั้นมีอาการดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ในคนที่เป็นสิวอักเสบแบบตุ่มหนอง สิวอุดตัน และสิวอักเสบไม่เป็นหนอง ผู้ป่วยหลายคนที่ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยการใช้ยาปฏิชีวนะทั้งแบบกินและทา ก็ให้ผลการตอบสนองดีในการใช้ mandelic acid ผู้ป่วยที่เป็นสิวขั้นรุนแรงก็ตอบสนองในทางที่ดีเช่นกัน

การวิจัยเบื้องต้นเกี่ยวกับ mandelic acid นั้น ได้ถูกคาดหวังว่าจะช่วยรักษาริ้วรอยเหี่ยวย่น และปัญหาสิว ผู้ป่วยหลายคนสามารถควบคุมอาการสิวของตนได้จากการใช้ผลิตภัณฑ์ mandelic acid (โดยไม่ใช้ผลิตภัณฑ์รักษาสิวแบบอื่นเลย) mandelic acid นั้นให้ผลการรักษาที่ดีกับผู้หญิงวัยกลางคนที่มีปัญหาสิวและผิวที่เสียจากแสงแดด ผู้ป่วยที่เป็นสิวบางคนที่เป็น rosacea ด้วยนั้นก็พบว่าอาการดีขึ้นจากการใช้ mandelic acid

5. ผลที่เห็นได้ชัดเจนจากการใช้ mandelic acid หลังการรักษาผิวด้วยเลเซอร์ พบว่ามีการติดเชื้อจากแบคทีเรียแกรมลบหลังรักษาด้วยวิธีนี้น้อยมาก ผู้ป่วยจะใช้ผลิตภัณฑ์นี้ราว 2-4 สัปดาห์ก่อนการทำเลเซอร์ และหลังจากระยะที่ผิวฟื้นฟูแล้ว ก็จะเริ่มใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวที่มีส่วนประกอบของ mandelic acid ผลที่ได้เมื่อใช้ผลิตภัณฑ์ mandelic acid หลังการทำเลเซอร์อีกอย่างคือ พบว่าเกิดรอยดำจากการอักเสบของผิวน้อยกว่าปกติ

——————————————————————————–

บทสรุป

แม้ว่าการศึกษานี้จะไม่ได้มีการทำทดสอบแบบ double-blind แต่ก็มีการศึกษาในผู้ป่วยนานกว่า 3 ปี และผลที่ได้จากการใช้ mandelic acid ไม่ว่าจะใช้เดี่ยวๆ หรือใช้ร่วมกับวิตามินก็ช่วยให้ได้ผลดีทั้งสิ้น เพราะเป็นการรักษาผิวที่ช่วยต้านเชื้อแบคทีเรีย และปรับสภาพผิวที่ถูกแสงแดดทำลาย ช่วยให้อาการสิว การสร้างเม็ดสีที่ผิดปกติ และโครงสร้างผิวดีขึ้น มีความปลอดภัยในการใช้กับผู้ที่มีผิวคล้ำว่าจะไม่ทำให้ผิวคล้ำมากขึ้น ถือเป็นความแตกต่างของการใช้ผลิตภัณฑ์ mandelic acid เมื่อเปรียบเทียบกับการใช้ glycolic acid และ tretinoin