ครีมรักษาแผลเป็นกับครีมรักษาหลุมสิวคนละหลักการนะครับ ครีมรักษาแผลเป็นที่ขายตามร้านขายยาจะมีหน้าที่แค่ให้แผลเป็นนุ่มขึ้น แต่การรักษาหลุมสิวเรากำลังพูดถึงเรื่องคอลลาเจนครับ ลองสังเกตุให้ดีเครื่องมือที่ช่วยรักษาหลุมสิวจะช่วยเรื่องริ้วรอยได้ด้วยไม่ว่าจะเป็น Dermaroller, เลเซอร์
วันนี้ผมจะเอาเรื่องที่ศึกษามาตลอด 20 ปี มาแชร์ให้ฟังว่าทำไมการรักษาหลุมสิวของคุณที่ผ่านมาถึงไม่ได้ผล และวิธีที่ได้ผลต้องทำยังไง
ถ้าต้องการดูรีวิวที่ผมอัพเดทไว้ตลอดสามารถเข้าไปดูได้ในกลุ่มเพื่อผิวที่ดีขึ้นและกดที่แอดมิน (เป็นกลุ่มปิดนะครับ)
เหตุผลที่การทาครีมรักษาหลุมสิวที่ผ่านมาไม่ได้ผล?
ครีมรักษาหลุมสิวทั่วไปทำแค่เรื่องกระตุ้นการสร้างเนื้อใหม่ แต่เนื้อใหม่ที่คุณพยายามกระตุ้น กระตุ้นแล้วกระตุ้นอีก จะขึ้นมาได้ยังไงถ้าหนังที่ปิดปากหลุมมันขวางอยู่ นั่นจึงเป็นสาเหตุที่คุณใช้ครีมรักษาหลุมสิวเท่าไหร่ก็ไม่ได้ผล
การรักษาหลุมสิวคุณต้องทำ 2 ข้อนี้
1.จัดการกับหนังที่ปิดปากหลุมให้หลุดออก
2.กระตุ้นให้เกิดการสร้างเนื้อใหม่ขึ้นมาแทน
เพราะฉะนั้นวิธีที่สำคัญพอๆกับการสร้างเนื้อใหม่ขึ้นมา คือคุณจะจัดการกับกำแพงที่ขวางไม่ให้เนื้อใหม่ขึ้นมายังไงต่างหาก
วิธีที่จัดการกับหนังที่ปิดปากหลุม (เฉพาะที่คุณหาซื้อมาใช้ได้เอง)
เราแนะนำให้คุณเรียงลำดับจากอ่อนสุดไปก่อน เพราะยิ่งแรงนั่นหมายถึงการพักผิวหลังทำยิ่งนานขึ้น
เรียงลำดับจากอ่อนสุดไปแรงสุด
1. AHA ไม่เกิน 10% bha ไม่เกิน 2%
2. aha bha 30% ขึ้นไป
3. microdermabrasion (การกรอผิว) สำหรับหลุมแบบคลื่น ผิวไม่เรียบ
4. การใช้เข็มไม่ว่าจะ dermaroller, dermapen
5. กรด TCA
เรามาดูกันว่าแต่ละตัวคืออะไร ถ้าใครที่รู้จักหมดแล้วก็ข้ามย่อหน้านี้ไปเลยละกัน
1.aha หรือกรดผลไม้
ประโยชน์ของ aha
-ช่วยผลัดเซลล์ ลดสิว ลดการอุดตัน
-ช่วยลดรอยสิว ช่วยหน้าขาวใส
-ช่วยเปิดหนังที่ปิดปากหลุมสิว
เคยคุยกับบางคนบอกว่าแพ้ aha ใช้ aha ไม่ได้ ที่จริงแล้ว aha เองก็จะมีหลายประเภทและแต่ละประเภทก็จะมีความแรงไม่เท่ากัน เช่น mandelic acid จะมีความอ่อนโยนมากกว่า glycolic acid แต่ก็จะมีราคาสูงกว่า อันนี้เราจะใช้ตัวไหนก็ลองไปศึกษากันเพิ่มอีกที เปอเซนต์ที่เราสามารถทาได้ทุกวันต้องไม่เกิน 10%
bha ตัวนี้ไม่ได้มีหลายประเภทแต่บางแบรนด์อาจใช้ชื่อว่า Salicylic acid อันนี้ก็เป็นตัวเดียวกัน และจะมีความแตกต่างเรื่อง % ที่ผสมเข้าไปในครีมที่เราใช้ มากสุดที่เราสามารถทาได้ทุกวันจะไม่เกิน 2%
2.aha หรือ bha ที่เปอเซนต์ 30% ขึ้นไป อันนี้เราจะเอามาใช้อาทิตย์ละครั้ง สามารถใช้ร่วมกับ aha 10% หรือ bha 2% ได้ ส่วนวิธีใช้สามารถดูได้จากลิงค์นี้ https://clearacne.biz/วิธีการใช้-mandelic30-ให้ได้ผลที/
3.microdermabrasion ภาษาไทยอาจเรียกกันว่ากรอผิวด้วยเกร็ดอัญมณี หรือการขัดผิว มีให้บริการทั้งในคลินิกและสถานเสริมความงาม และตอนหลังก็มีขายแบบที่เป็นเครื่องไว้ให้เราทำเองได้ที่บ้าน หรือเป็นแบบผ้า microfiber
4.เข็ม Dermaroller หรือเครื่อง dermapen
วิธีนี้เป็นการใช้เข็มเจาะลงไปที่ผิวช่วยเปิดหนังที่ปิดปากหลุมและกระตุ้นการสร้างเนื้อใหม่ตามกลไกของร่างกายเวลาที่ผิวเกิดบาดแผล ความยาวเข็มที่ใช้รักษาหลุมสิวไม่ควรเกิน 2.0mm และไม่ต่ำกว่า 0.5mm. วิธีนี้ใครที่จะทำเองควรศึกษาวิธีใช้อย่างละเอียดก่อนที่จะเริ่มทำ เพราะมีผลข้างเคียงหลังทำค่อนข้างมาก อ่านข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่หน้านี้ https://clearacne.biz/dermaroller-ทำไมถึงรักษาหลุมสิวไ/ หรือสอบถามจากเพื่อนสมาชิกได้ในกลุ่มที่มีประสบการณ์ https://bit.ly/2DEwtX9
5.TCA ชื่อเต็ม Trichloroacetic Acid เป็นกรดความเข้มข้นสูง ข้อดีคือราคาไม่แพง มีความรุนแรงสูง แต่ข้อเสียคือควบคุมผลที่ได้ยาก ผิวหน้าอาจจะได้รับผลข้างเคียงสูงหลังทำ ถ้าใครใช้แล้วดีผิวหน้าก็จะดีเลย แต่ในบางคนก็อาจเป็นแผลเป็นระยะยาวที่รักษาไม่หายได้
หลุมสิวทุกแบบการรักษาเหมือนกันใช่มั้ย? ไม่เหมือน!
อันนี้เป็นประสบการณ์ตรงเลย เพราะหลุมสิวที่ผมเป็นส่วนใหญ่จะเป็น icepick ที่เป็นหลุมจิกลึกกับหลุมแบบที่เป็นแอ่งลึก แต่ผมเริ่มจากการใช้วิธีขัดผิว (หินขัดเท้าที่เล่าให้ฟังว่าเคยเอามาใช้) สุดท้ายผิวที่ถูกขัดออกไปเป็นผิวส่วนที่ปกติ แต่บริเวณหลุมสิวไม่ได้โดนขัดออกเลย ถ้าคุณเป็นหลุมแบบจิกลึกการกรอผิวไม่ลงไปที่ก้นหลุม คุณก็ไม่สามารถทำให้หนังที่ปิดปากหลุมหลุดออกได้ เพราะฉะนั้นวิธีนี้คุณไม่สามารถใช้กับหลุมสิวแบบนี้ได้
หลุมสิวแต่ละแบบใช้วิธีอะไรรักษาได้บ้าง
1.หลุมสิวแบบที่รักษาง่ายสุด
อันนี้ภาษาอังกฤษเรียก Rolling scar ส่วนเราเรียกมันว่าหลุมสิวแบบผิวเป็นคลื่น หลุมสิวแบบนี้รักษาง่ายสุดและวิธีจัดการกับหนังที่ปิดปากหลุมทั้ง 5 ข้อด้านบนสามารถใช้กับหลุมแบบนี้ได้
2.หลุมสิวแบบที่สองนี้เป็นแบบรักษายากขึ้นมาอีกระดับ เราแนะนำวิธีที่ 1,2,4 และ 5 ในการเปิดหนังที่ปิดปากหลุม ไม่แนะนำวิธีการขัดผิวหรือ microdermabrasion เพราะมันลงไปไม่ถึงก้นหลุม ส่วนในคนที่มีเงินพอจะไปให้หมอทำ subcision ก็จะช่วยให้หลุมแบบนี้หายเร็วขึ้น
3.หลุมสิวแบบสุดท้ายเป็นแบบที่รักษายากที่สุด การใช้ microdermabrasion หรือ subcision ทำได้ยากหรือเป็นไปไม่ได้เลย วิธีที่จะเปิดหนังที่ปิดปากหลุมต้องเป็นวิธีที่แต้มกรดลงไปที่ก้นหลุม การทาครีมแบบปกติไม่สามารถทำได้เพราะครีมจะไม่ลงไปถึงก้นหลุมต้องใช้วิธีการแต้มโดยใช้ไม้จิ้มฟัน
ลองนึกย้อนกลับไปดูนะครับว่าที่ผ่านมาคุณรักษาผิดวิธีกับหลุมสิวที่คุณเป็นหรือเปล่า ถ้าใช่ก็ไม่แปลกใจเลยใช่มั้ยว่าทำไมรักษาเท่าไหร่ก็ไม่หาย
เอาล่ะมาถึงขั้นตอนต่อไปกันนะครับ ขั้นตอนการกระตุ้นให้หลุมสิวตื้นขึ้นมา
ถ้าใครได้ลอง search ดูการรักษาอย่างเช่น subcision หรือการใช้ aha, tca เพื่อรักษาหลุมสิว ส่วนใหญ่ที่คอมเม้นกันคือเสียดายเงิน ไม่ได้ผล ดีขึ้นแป๊บเดียวก็กลับมาเป็นอีก
ที่จริงแล้วการรักษาหลุมสิวด้วยวิธีเหล่านี้ช่วยเรื่องหลุมสิวได้ระดับหนึ่ง เพราะการรบกวนผิวด้วย aha, bha, tca มันเป็นการส่งสัญญาณให้ร่างกายเราผลิตคอลลาเจนได้บ้างแต่มันไม่พอครับสำหรับการรักษาหลุมสิว คุณจำเป็นต้องใช้ครีมหรือสารที่ช่วยกระตุ้นการสร้างคอลลาเจนอีกทางหนึ่งเพื่อให้เนื้อใหม่ขึ้นมาเร็วขึ้น
พอคุณเข้าใจแบบนี้แล้วหลังจากนี้คุณก็ไปหาวิธีทำให้ครบ 2 ขั้นตอนเองได้ไม่ยากละ
เราสรุปวิธีว่ามีอะไรบ้างในแต่ละขั้นตอนให้คุณดูอีกทีเพื่อที่จะได้ไปเลือกใช้กัน
เปิดหนังที่ปิดปากหลุม | กระตุ้นการสร้างเนื้อใหม่ |
1. aha 10% bha 2% | 1. copper peptide |
2. aha, bha 30% ขึ้นไป | 2. วิตามินซี |
3. microdermabrasion | 3. วิตามินเอ |
4. Dermaroller, Dermapen | สารต่างๆที่บอกว่าสร้างคอลลาเจน |
5. กรด TCA | |
6. Subcision |
คุณอ่านมาถึงตรงนี้คุณจะเข้าใจว่าทำไมครีมรักษาหลุมสิวทาไปแล้วผิวโดยรวมถึงดูดีขึ้น ตึงขึ้น กระชับขึ้น รูขุมขนเล็กลง เพราะครีมเหล่านี้กระตุ้นการสร้างคอลลาเจนไงล่ะครับ
ถ้างั้นครีมบำรุงทั่วไปที่ลดเลือนริ้วรอยก็สามารถรักษาหลุมสิวได้ทั้งหมดใช่มั้ย? ใช่ แต่ไม่ทั้งหมด
ถ้าหลุมสิวคุณเป็นมาไม่นาน ครีมบำรุงทั่วไปอาจช่วยคุณได้ แต่ถ้าคุณเป็นมานานแล้ว หนังที่ปิดปากหลุมหรือโปรตีนที่ชื่อ tgf b1 นี่จะหนามาก ถึงคุณจะใช้วิธีเปิดหนังที่ปิดปากหลุมกี่วิธี โปรตีนตัวนี้ร่างกายก็จะสร้างขึ้นมาใหม่เรื่อยๆ นี่จึงเป็นอีกสาเหตุที่การรักษาหลุมสิวนั้นไม่ไปถึงไหน
ตอนนี้เท่าที่ผมค้นคว้ามา สารตัวเดียวที่ยับยั้งเจ้าโปรตีนตัวนี้ได้คือ copper peptide หรือถ้ามีตัวอื่นก็มาแชร์กันได้ที่กลุ่ม https://bit.ly/2DEwtX9
เมื่อ 2 หน้าที่หลักคือสั่งให้ร่างกายไม่สร้างหนังที่ปิดปากหลุมกับกระตุ้นการสร้างเนื้อใหม่รวมไว้ในสารตัวเดียว นี่จึงเป็นเหตุผลที่ทำไม copper peptide ถึงช่วยหลุมสิวได้อย่างเห็นผลกว่าสารตัวอื่น
ประสบการณ์ส่วนตัวที่เคยรักษาหลุมสิวมา
อันนี้เป็นรูปตอนก่อนเริ่มรักษาจริงจังตอนปี 2555
1.ไปให้ช่างสักเอาเข็มสักหน้า
อันนี้คือทำตั้งแต่ยังไม่มีเครื่อง dermapen และเคยอ่านเจอที่เมืองนอกว่าเค้าทำกัน เราก็ไปจ้างช่างสักปกติให้เค้าสักที่หน้า แต่สักแบบไม่ใส่สีนะ ให้เค้าเดินเข็มทั่วหน้าเลยตรงที่เป็น พอทำเสร็จแล้วหน้าจะแดงทั้งหน้า แต่ไม่นานก็หาย เราโอเคกับวิธีนี้มากกว่าเดอมาโรลเลอร์นะเพราะมันเร็วและทั่วหน้ามากกว่า สะอาดกว่าเพราะเข็มเปลี่ยนทุกครั้ง เสียดายหารูปไม่เจอ
2.Dermaroller
อันนี้เราเอามากลิ้งหน้าประจำอยู่แล้ว กลิ้งเอง ร่วมกับการทา copper peptide ข้อดีของ Dermaroller คือถูก ให้ผลได้ระดับหนึ่ง แต่ข้อเสียคือทำความสะอาดหัวเข็มยาก และเวลากลิ้งเองไม่ค่อยกล้าลงน้ำหนัก ถ้าเป็นไปได้แนะนำให้คนอื่นทำให้และทายาชาก่อนทำจะได้ลงน้ำหนักได้มากโดยที่ไม่เจ็บ
3.Dermapen
ลักษณะจะเหมือนกับ Dermaroller ผมใช้อยู่ครั้ง สองครั้ง เปลี่ยนเข็ม ล้างเข็มง่าย ปรับระดับความลึกได้ แต่ข้อเสียคือมอเตอร์กำลังน้อย ทำให้เวลาเดินเข็มมันจะแกว่ง แผลหลังทำจะมากกว่า Dermaroller แต่ก็ไม่ใช่ว่าจะมากจนรับไม่ได้
4.ลองเอาหินขัดเท้ามาถูหน้าตัวเอง
อันนี้อ่านมาจากหลักการ Microdermabrasion แล้วคิดว่าน่าจะหลักการเดียวกัน เลยลองเอามาขัดตรงที่เป็นหลุมสิวดู หน้าแหกแต่หลุมไม่ได้ช่วย เพราะหลุมที่เป็นมันลึกเกินกว่าที่จะขัดลงไปได้ ใครที่เป็นตื้นๆ แบบผิวไม่เรียบการขัดผิวก็จะช่วยได้
ตอนนี้เวลาออกไปงานหรือไปเที่ยวใช้ cushion ทาอีกอย่างนึงก็เกือบจะไม่เห็นหลุมสิวที่เป็นแล้ว สำหรับใครที่มีคำถามสามารถเข้ามาสอบถามได้ในกลุ่มที่ปุ่มด้านล่างนี้ ผมทำไว้เป็นกลุ่มปิดเพื่อไม่ให้เพื่อนเราในเฟสเห็นข้อความ เข้าใจนะแค่พิมพ์คำถามบางทีเพื่อนเรายังล้อเลย
ตัวอย่างสมาชิกในกลุ่มที่ใช้ครบ 2 ขั้นตอนแล้วได้ผล