8 เรื่องที่ควรรู้เกี่ยวกับเลเซอร์

8 สิ่งที่คุณจำเป็นต้องรู้ก่อนทำเลเซอร์

8 สิ่งที่คุณจำเป็นต้องรู้ก่อนทำเลเซอร์

การทำเลเซอร์ผิวคืออะไร?

การทำเลเซอร์เป็นวิธีที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถช่วยลดริ้วรอยจุดด่างดำหลุมสิวรวมไปถึงกระฝ้าและริ้วรอยอื่นๆอีกทั้งยังช่วยยกกระชับผิวและปรับสมดุลของสีผิวให้ขาวกระจ่างใสอีกด้วยแต่เนื่องจากเลเซอร์นั้นสามารถทำงานได้หลากหลายกับผิวคุณจึงเป็นการยากที่จะทราบว่าจริงๆแล้วเราควรเริ่มต้นหาข้อมูลเกี่ยวกับการทำเลเซอร์จากตรงไหน

ก่อนที่คุณจะถลำลึกลงไปกับข้อมูลใน Google เราขอแนะนำให้ถอยออกมาจากโฆษณาชวนเชื่อและลองอ่านสิ่งสำคัญที่ควรทราบต่อไปนี้เกี่ยวกับการทำเลเซอร์ก่อนตัดสินใจ

1. เมื่อไหร่ที่เราควรทำเลเซอร์

คุณรู้หรือไหมว่าฤดูใบไม้ร่วงถือเป็น “ฤดูแห่งการทำเลเซอร์” เพราะว่าผิวที่ผ่านการทำเลเซอร์มานั้นจะมีความไวต่อแดดสูงมากเป็นระยะเวลานานถึง 1 ปีหลังจากการทำเลเซอร์ดังนั้นศัลยแพทย์หลายคนจึงแนะนำให้คุณทำเลเซอร์ผลัดเซลล์ผิวในช่วงฤดูใบไม้ร่วงหรือฤดูหนาวซึ่งเป็นช่วงที่ระยะเวลากลางวันสั้นกว่า

ไม่ว่าคุณจะทำเลเซอร์ในช่วงเวลาหรือฤดูไหนของปีก็ตามสิ่งสำคัญคือคุณต้องทาครีมกันแดดที่มีค่า SPF30 หรือสูงกว่าเป็นประจำและสม่ำเสมอการทาครีมกันแดดนั้นไม่เพียงแต่จะช่วยให้ผลของการทำเลเซอร์ออกมาดีที่สุดแต่ยังช่วยปกป้องดูแลผิวของคุณจากมะเร็งผิวหนังและป้องกันการเกิดริ้วรอยอื่นๆก่อนวัยอันควรได้อีกด้วย

2. การทำเลเซอร์อาจจะเจ็บหรือไม่เจ็บก็ได้

ผู้เข้ารับการรักษาและคุณหมอหลายๆท่านได้เปรียบเทียบความรู้สึกขณะที่ทำเลเซอร์ไว้ว่าจะมีความรู้สึกเหมือนกับหนังยางเล็กๆดีดลงไปบนผิวอย่างไรก็ตามความรู้สึกจากการทำเลเซอร์นั้นขึ้นอยู่กับชนิดของเลเซอร์ความลึกและบริเวณผิวที่ทำเลเซอร์รวมไปถึงความอดทนต่อความเจ็บปวดของแต่ละคนด้วย

การทำเลเซอร์แบบ ablative (ผิวหนังชั้นนอกเกิดการลอกออกไปบางส่วน) การรักษาอาจจำเป็นที่ต้องใช้ยาชาเฉพาะที่หรือยากดประสาทที่ฉีดเข้าทางเส้นเลือดเพื่อทำให้ผู้ป่วยรู้สึกไม่เจ็บปวดตัวอย่างของเลเซอร์ชนิด ablative ได้แก่เลเซอร์ CO2 และเลเซอร์ Erbium YAG เป็นต้น

การรักษาด้วยเลเซอร์แบบ non-ablative บางชนิด (เลเซอร์ที่สามารถผ่านชั้นผิวหนังลงไปแต่ไม่ทำให้เกิดการลอกของผิวด้านบน) นั้นสร้างความเจ็บปวดเล็กน้อยหรืออาจจะไม่เจ็บเลยก็ได้จึงต้องการเพียงแค่ยาชาแบบทาเพื่อลดความเจ็บปวดเท่านั้นเลเซอร์ชนิด non-ablative ได้แก่เลเซอร์ชนิด Pulsed-Dye ND:Yag และ Alexandrite เป็นต้น

3. การมีผิวสีเข้มไม่ได้ส่งผลต่อการทำเลเซอร์ของคุณ

ความเข้าใจผิดที่พบบ่อยคือการทำเลเซอร์นั้นมีความปลอดภัยเฉพาะกับคนที่มีผิวขาวเท่านั้นความเป็นจริงแล้วเลเซอร์บางชนิดจะมีความเสี่ยงสูงต่อการทำลายเซลล์ผิวหรือการเปลี่ยนสีผิวในคนที่มีผิวสีเข้มแต่ก็ยังมีตัวเลือกที่ปลอดภัยและมีประสิทธิภาพอยู่สำหรับชาวแอฟริกันชาวอเมริกันชาวสเปนหรือชาวเอเชียที่มีโทนผิวสีสว่างการทำเลเซอร์ชนิด Erbium อาจจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่าและมีความเสี่ยงที่จะเกิดการเปลี่ยนสีผิวได้น้อยกว่าผู้ที่มีผิวสีน้ำตาลเข้มหรือผิวสีดำอาจต้องพิจารณาตัวเลือกสำหรับการทำเลเซอร์วิธีอื่นๆเช่นรักษาด้วยวิธีการปล่อยคลื่นไฟฟ้าอย่างอ่อน (radio-frequency treatments) หรือการทำ microneedling (ใช้เข็มในการรักษา) เป็นต้นวิธีที่ดีที่สุดคือปรึกษากับผู้ให้บริการซึ่งเป็นผู้ที่ได้รับการเทรนและมีความรู้เป็นอย่างดีเกี่ยวกับการทำเลเซอร์

4. ผลลัพธ์ที่ได้อาจแตกต่างกันขึ้นอยู่กับผู้ที่ทำเลเซอร์ให้กับคุณ

การทำเลเซอร์กับผู้ที่ได้รับการเทรนมาเป็นอย่างดีและมีความรู้ในระดับมืออาชีพจะช่วยให้เกิดความเปลี่ยนแปลงและทำให้คุณได้รับการรักษาที่มีความปลอดภัย รวมทั้งช่วยทำให้ผิวของคุณดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด การทำเลเซอร์กับผู้ที่ได้รับการเทรนมาอย่างไม่ถูกต้องนั้นจะทำให้การรักษาไม่มีประสิทธิภาพและก่อให้เกิดอันตรายได้ อย่าเลือกใช้บริการเพียงเพราะได้ข้อเสนอดี ๆ

5. ยาหรือสภาวะบางอย่างสามารถส่งผลกับผิวเมื่อทำการรักษาด้วยเลเซอร์ได้ 

คุณควรจะแจ้งประวัติการรักษาหรือยาต่าง ๆ ที่คุณใช้อยู่กับผู้ให้บริการอย่างตรงไปตรงมา ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคุณมีแนวโน้มที่จะเป็นแผลพุพองบริเวณที่ปาก เช่น แผลที่อาจเกิดจากเชื้อไวรัสเริม (Cold sores) หรือจากสาเหตุอื่น ๆ การทำเลเซอร์ทรีตเมนท์อาจทำให้แผลแตกได้ ยารักษาสิวบางตัวที่มีส่วนประกอบของ Isotretinoin (เช่น Acutance) อาจทำให้การรักษามีประสิทธิภาพต่ำหรืออาจเกิดแผลจากการรักษาด้วยเลเซอร์หรือทานยาเช่น แอสไพริน อาจเพิ่มความเสี่ยงทำให้เกิดเลือดไหลหลังการทำเลเซอร์ได้ ภาวะเบาหวานและโรคเรื้อรังบางโรคสามารถส่งผลต่อความปลอดภัยและกระทบต่อผลของการรักษาด้วยเลเซอร์ได้ ถ้าหากคุณเป็นคนที่สูบบุหรี่ คุณควรจะต้องงดการสูบบุหรี่ก่อนและหลังทำเลเซอร์อย่างน้อย 2 อาทิตย์เพื่อหลีกเลี่ยงภาวะแทรกซ้อนจากการทำเลเซอร์รวมทั้งยังเป็นการช่วยให้คุณได้รับผลการรักษาที่ดีที่สุด

6. เลเซอร์ที่แตกต่างกันจะต้องถูกปรับให้เหมาะสมกับชนิดของผิวที่แตกต่างกันด้วย 

เหตุผลที่ว่าทำไมถึงต้องมีเลเซอร์มากมายหลายชนิด คือ เพราะไม่มีเลเซอร์เพียงตัวใดตัวหนึ่งที่สามารถจัดการกับปัญหาผิวของผู้ป่วยได้ทั้งหมด ตัวอย่างเลเซอร์บางตัวต่อไปนี้คุณอาจจะเจอในขณะที่คุณศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับการทำเลเซอร์ 

  • เลเซอร์ชนิด CO2 (CO2 lasers) เป็นเลเซอร์ที่ทำให้เกิดการลอกของชั้นผิวหนัง (ablative lasers) ซึ่งจะใช้ในการรักษารอยแผลเป็น หลุมสิว ไฝ ริ้วรอย และจุดด่างดำฝังลึกชนิดอื่น ๆ   
  • เลเซอร์ชนิด Erbium (Erbium lasers) เป็นเลเซอร์ชนิดที่มีทั้งทำให้เกิดการลอกหรือไม่เกิดการลอกของชั้นผิว (ablative or non-ablative lasers) เลเซอร์ชนิดนี้สามารถกระตุ้นการจัดเรียงตัวของชั้นคอลลาเจน ทำให้เป็นตัวเลือกที่นิยมใช้ในการรักษาริ้วรอยร่องตื้น (Fine lines) ริ้วรอยร่องลึก (Wrinkles) ความหย่อนยานของผิวหนัง และจุดด่างดำในผู้สูงอายุ (Age spot)
  • เลเซอร์ชนิด Pulsed-Dye (Pulsed-Dye lasers) เป็นเลเซอร์ทั่วไปที่ไม่ก่อให้เกิดการลอกของชั้นผิว (non-ablative lasers) ซึ่งสามารถสร้างความร้อนให้แก่ผิวหนังและดูดซึมเม็ดสีเพื่อลดรอยแดง จุดด่างดำ เส้นเลือดฝอยที่แตก และโรคผิวหนังอักเสบโรซาเซีย (Rosacea)  
  • เลเซอร์ชนิด Fractional (Fractional lasers) เป็นเลเซอร์ที่ถูกแบ่งพลังงานให้กลายเป็นลำแสงเล็ก ๆ จำนวนมากเพื่อรักษาผิวหนังทีละส่วนเพื่อลดระยะเวลาการพักฟื้น เลเซอร์ชนิดนี้อาจทำให้เกิดการลอกหรือไม่เกิดการลอกของชั้นผิว (ablative or non-ablative lasers) ซึ่งจะใช้ในการรักษาฝ้าที่ขึ้นอยู่กับอายุ
  • IPL (Intense Pulsed Light) เป็นการรักษาที่ไม่ใช่แสงเลเซอร์แต่สามารถใช้รักษาปัญหาผิวต่าง ๆ ได้เช่นเดียวกับเลเซอร์ เช่น ปัญหาผิวที่ถูกทำร้ายจากแสงแดด สิว โรคผิวหนังโรซาเซีย และจุดด่างดำ 

7. การวางแผนสำหรับวิธีการรักษาหลาย ๆ วิธี 

ในบางกรณีนั้น การทำเลเซอร์เพียงครั้งเดียวก็สามารถที่จะแก้ไขปัญหาของผู้เข้ารับการรักษาได้ แต่เลเซอร์ชนิด non-ablative (ไม่เกิดแผลหลังทำ) ส่วนใหญ่อาจจะต้องใช้การรักษาหลายวิธีควบคู่ไปด้วยเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจซึ่งเป็นการแลกกับการที่เราไม่ต้องพักฟื้นหลังการทำเลเซอร์ 

8. คุณอาจจะต้องพักฟื้นหลังการทำเลเซอร์ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับวิธีรักษา 

ถึงแม้ว่าการรักษาด้วยเลเซอร์จะเป็นการรักษาแบบไม่ผ่าตัด แต่ไม่ได้หมายความว่าการรักษาด้วยเลเซอร์ทุกชนิดจะไม่ต้องพักฟื้น ระยะเวลาการฟื้นฟูผิวหลังการทำเลเซอร์นั้นจะแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับชนิดของเลเซอร์ที่ใช้รวมไปถึงสุขภาพและอัตราการฟื้นตัวของแต่ละบุคคล เลเซอร์ชนิด non-ablative นั้นไม่จำเป็นต้องมีการพักฟื้นหลังการรักษา ในขณะที่เลเซอร์ชนิด ablative ต้องใช้ระยะเวลา 2-3 อาทิตย์สำหรับการพักฟื้นขึ้นอยู่กับความลึกของชั้นผิวที่ถูกลอกออกก่อนที่ชั้นผิวใหม่จะหลับมาเป็นปกติ การพักฟื้นนั้นไม่ได้หมายความว่าคุณจะต้องอยู่แต่ในบ้านตลอดทั้งเดือน เพียงแต่ว่าคุณอาจจะรู้สึกแสบผิว ผิวแดง และตกสะเก็ดในขณะที่พักฟื้น คุณอาจจะรู้สึกไม่สบายใจเมื่ออยู่ในสถานการณ์บางอย่างที่มีคนเยอะ รวมไปถึงคุณจำเป็นที่จะต้องปรับเปลี่ยนกิจกรรมบางอย่างเพื่อหลีกเลี่ยงสภาวะที่อาจจะทำให้เกิดการติดเชื้อได้ เช่น การว่ายน้ำ การออกกำลังกายในยิม เป็นต้น

อ้างอิงข้อมูลจาก: https://www.americanboardcosmeticsurgery.org/skin-resurfacing/the-top-8-things-you-need-to-know-about-laser-skin-resurfacing/

การทา CP serum หรือ Super cop2x หลังการรักษาด้วยเลเซอร์จะทำให้ผิวใหม่แข็งแรงเร็วขึ้น และการเรียงตัวของคอลลาเจนมีประสิทธิภาพมากขึ้น

[maxbutton id=”5″ ]